Sunday, December 22, 2024
spot_imgspot_img

Top 5 This Week

spot_img

Related Posts

ปูอัด ทำมาจากอะไร อัปเดต 2567

ปูอัด ทำมาจากอะไร อัปเดต 2567 ปูอัด คืออาหารยอดฮิตที่หาทานง่ายทั้งในและต่างประเทศ แต่จริงๆ แล้ว ปูอัด ไม่ได้ทำจากปูจริงๆ แต่ทำมาจากอะไร ไปดูกันได้เลย 

ปูอัด ทำมาจากอะไร

ปูอัด ทำมาจากอะไร 2567 ปูอัด ทำจากปลาเนื้อขาว ซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก โดยประกอบด้วยเนื้อปลาหลายชนิด เช่น ปลาเต๋า เสือปลา หรือปลากระพง

ซึ่งจะผสมกับสารเสริมรส และสารประกอบอื่น ๆ เช่น ไข่ น้ำตาล แป้ง และวัตถุกันเสีย เพื่อให้ได้รสชาติ สี และความเรียบเนียนตามมาตรฐานที่ต้องการ

หลังจากนั้นจะนำมาอัดรูปเป็นลูกชิ้นและตัดเป็นชิ้นยาวเหมือนกับขาปูจริง ๆ ด้วยเครื่องจักรพิเศษ จากนั้นนำไปต้มให้สุก และตามด้วยการหมักในน้ำเกลือ และสูตรส่วนผสมอื่น ๆ ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต โดยทั่วไปมักจะมีความหวานน้อย และมีรสชาติเนื้อปูนิดหน่อย โดยเนื้อเหล่านี้จะถูกปรับสมดุลให้ได้รสชาติและความสดใหม่ที่เหมือนจริง

ทำไมถึงเรียกว่าปูอัด 

MGR ONLINE ได้ให้ข้อมูลว่า ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็กถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมากประมาณร้อยละ 90 ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ดจะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพและแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518

โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว
ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯวิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้งส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้งน้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปูเสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน

ประโยชน์ของปูอัด

เป็นอาหารโปรตีนที่ย่อยง่าย เนื่องจากปูอัดมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นเนื้อปลา อาจมีแป้งปนบ้าง มากน้อยตามคุณภาพ และราคา แต่ก็ยังมีส่วนประกอบหลักคือเนื้อปลา (ถ้าไม่ดวงจู๋ไปเจอแบบคุณภาพต่ำมาก ใส่แป้งมากมายนะครับ) เวลาเลือกซื้อก็ดูให้ดีๆ ปูอัดสามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมาย แม้กระทั่งกินเล่นเป็นอาหารว่างสำหรับคนลดความอ้วนก็ยังได้ เพราะให้พลังงาน แท่งละ ประมาณ 30 กิโลแคลอรี่ เท่านั้น

วิธีการเลือกซื้อปูอัด

  1. ในภาชนะบรรจุเดียวกันต้องมีขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกัน
  2. เนื้อปูอัดต้องไม่แตกหรือยุ่ยเละ
  3. เนื้อปูอัดสามารถแยกออกเป็นเส้นได้
  4. เนื้อปูอัดต้องมีสีขาว ส่วนที่เป็นผิวต้องมีสีสม่ำเสมอ
  5. ต้องมีกลิ่นรสปกติของปูอัด ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือรสเปรี้ยว

ส่วนประกอบของปูอัด 

ส่วนประกอบหลักของปูอัด คือ

  1. ซูริมิ (Surimi) ซึ่งทำมาจากปลาเนื้อสีขาวที่มีไขมันต่ำ ได้แก่ ปลาตาหวาน ปลาข้างเหลือง ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ
  2. ปลาที่ใช้กันมากที่สุด คือ ปลาทรายแดง (ปลาอิโตโยริ) ปลาอลาสก้าพอลล็อค (Alaska Pollock)
    ส่วนประกอบอื่นๆ ที่ใช้ผสมเพื่อทำปูอัด คือ น้ำ แป้งสาลี แป้งมันสำปะหลัง ไข่ขาว น้ำมันถั่วเหลือง เกลือ น้ำตาล ซอร์บิทอล (สารให้ความหวาน) โปรตีนจากถั่วเหลือง สารสกัดจากปู กลิ่นปู รสปู ส่วนผสมอาจแตกต่างไปบ้างตามสูตรของแต่ละเจ้า
  3. วิธีทำ เริ่มจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบ รีดเอาแต่เนื้อปลาออกมา แล้วผสมกับ แป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุก และผ่านกระบวนการที่ทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริงๆ แล้วอัดเป็นแท่งยาวๆ ตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปู ก็เป็นอันเรียบร้อย
  4. ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่นั้นจะมีขนาดเล็กมาก (เรียกรวมๆ ว่า ปลาเป็ด ) ขายไม่ได้ราคา จึงทำให้ 90% ของปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้ผลิตอาหารสัตว์ ต่อมามีบริษัทในญี่ปุ่นได้คิดค้นวิธีการนำปลาเป็ด มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518
  5. ไทยเราเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการทำประมงมิใช่น้อย และมีโรงงานผลิตปูอัดมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต และ ปลาดาบ

พลังงานจากปูอัด

ปูอัด 85 กรัม จะให้พลังงาน 81 แคลอรี่ และมีคุณค่าทางโภชนาการของปูอัดมีดังนี้

  • ไขมัน 0.4 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 12.7 กรัม
  • โปรตีน 6.5 กรัม
  • คอเลสเตอรอล 17 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 715 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 12 8% ของปริมาณวิตามินบี 12 ที่ควรได้รับต่อวัน
  • แมกนีเซียม 9% ของปริมาณแมกนีเซียมที่ควรได้รับต่อวัน
  • ฟอสฟอรัส 24% ของปริมาณฟอสฟอรัสที่ควรได้รับต่อวัน
  • ซิงก์ 2% ของปริมาณซิงก์ที่ควรได้รับต่อวัน
  • คอปเปอร์ 1% ของปริมาณคอปเปอร์ที่ควรได้รับต่อวัน
  • ซีลีเนียม 27% ของปริมาณซีลีเนียมที่ควรได้รับต่อวัน

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม คลิก

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Popular Articles