Friday, November 22, 2024
spot_imgspot_img

Top 5 This Week

spot_img

Related Posts

รวม โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อน

หน้าร้อนวนกลับมาแล้ว หลายคนก็อาจจะกังวลว่าปีนี้จะร้อนกว่าปีที่ผ่านมามั้ย และ โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อน จะมีอะไรบ้างแล้วจะอันตรายแค่ไหน วันนี้เราเลยรวบรวมโรคที่มากับหน้าร้อนมาฝาก

รวม โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อน

1.โรคลมแดด

โรคลมแดดหรือ Solar Urticaria เป็นโรคผิวหนังที่มีผู้ป่วยมีอาการแพ้ต่อแสงแดด โดยมีอาการเกิดผื่นแดงบนผิวหนังหรือคันเป็นพิษ เมื่อผู้ป่วยได้รับแสงแดดตรง สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อแสงแดดในร่างกาย โดยอาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโครงสร้างของโซเฟียอะซิดในผิวหนัง

อาการโรคลมแดด

  • เหงื่อไม่ออก
  • อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40 องศา
  • ผิวร้อนแห้งแดง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดศีรษะ
  • มึนงง อ่อนเพลีย
  • ชัก หมดสติ

การรักษาโรคลมแดดมักจะเน้นไปที่การป้องกันการสัมผัสกับแสงแดดโดยการใช้เสื้อผ้าที่ปิดร่างกายให้มากขึ้น การใช้ครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงการอยู่ในแสงแดดในช่วงเวลาที่สูงสุด เช่นเวลากลางวัน นอกจากนี้ การรับประทานยาและการให้การรักษาทางการแพทย์อื่นๆ อาจจะมีบางกรณีที่จำเป็นต้องพิจารณาตามความรุนแรงของอาการและสถานการณ์ของผู้ป่วยในแต่ละรายด้วย การป้องกันอาการเกิดโรคลมแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการกับโรคนี้ แต่หากมีอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการป้องกัน การปรึกษาแพทย์สำหรับตรวจวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติมจะเป็นสิ่งที่ควรทำในขณะเดียวกัน

 

2.โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea)

เป็นภาวะที่ติดเชื้อทางทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการถ่ายอุจจาระบ่อยๆ และน้ำอุจจาระมีลักษณะเป็นเหลว ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อโรคที่มีในอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อน เช่น เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัส, หรือเชื้อจุลินทรีย์ โรคนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่รักษาอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือได้

อาการโรคอุจจาระร่วง

  • ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
  • อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • เบื่ออาหาร
  • ไข้

 

3.โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)

เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคหรือพิษ โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Salmonella, E. coli, Staphylococcus aureus, หรือ Bacillus cereus ซึ่งมักจะพบในอาหารที่ไม่สะอาด หรือไม่จัดเก็บรักษาอย่างเหมาะสม

อาการของโรคอาหารเป็นพิษอาจแตกต่างไปตามชนิดของเชื้อและปริมาณที่บริโภค

  • อาเจียน
  • ท้องเสีย
  • ปวดท้อง
  • คลื่นไส้
  • อาการไข้
  • อาการเหนื่อยล้า

การรักษาโรคอาหารเป็นพิษมักเน้นการดูแลและบำรุงร่างกายให้ดี รวมถึงการบริโภคน้ำเย็นและยาต้านการอาเจียนหากจำเป็น การดื่มน้ำเพื่อป้องกันการเกิดขาดน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย ในบางกรณีที่อาการรุนแรงขึ้นหรือไม่ดีขึ้น อาจต้องพบแพทย์เพื่อการรักษาเพิ่มเติมและการวินิจฉัยอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือสุขภาพอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษค่อนข้างง่ายโดยการรักษาความสะอาดในการทำอาหารและการเก็บรักษาอาหารอย่างเหมาะสม การส่งเสริมการปรุงอาหารอย่างถูกต้องและการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

4.โรคไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever)

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียชื่อ Salmonella typhi โดยส่วนใหญ่จะถูกนำเข้าผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคนี้ โรคนี้มักพบมากในบริเวณที่มีสภาพอุดมสมบูรณ์สำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช่น บริเวณที่มีน้ำที่ปนเปื้อนหรือการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาด

อาการของโรคไข้ไทฟอยด์

  • ไข้สูง
  • อาการเหนื่อยล้า
  • ปวดศีรษะ
  • อาการปวดเมื่อยร้าวในร่างกาย
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสียหรืออาการท้องผูก

ในบางกรณีอาจมีผื่นบนผิวหนังเป็นจุดแดงเล็กๆ โรคนี้สามารถรุนแรงได้ถึงขั้นเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การวินิจฉัยโรคไข้ไทฟอยด์จะต้องผ่านการตรวจเลือดและการเก็บตัวอย่างอุจจาระหรือปัสสาวะเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ

การรักษาโรคไข้ไทฟอยด์จะเน้นไปที่การให้ประทานยาที่มีปฏิกิริยาต่อเชื้อโรค และการดูแลสุขภาพโดยรับประทานน้ำเพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ การรักษาโรคไข้ไทฟอยด์ในบางกรณีอาจต้องใช้การให้สารต้านไวรัสหรือภูมิคุ้มกันในบางกรณีที่รุนแรง เพื่อช่วยลดอาการและเพิ่มโอกาสให้ร่างกายสามารถต่อต้านเชื้อได้ดีขึ้น การป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ เน้นไปที่การรักษาความสะอาดในการทำอาหารและการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย และการประเมินความเสี่ยงในการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง โดยอาจต้องรับวัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ก่อนการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม วัคซีนนี้ไม่ได้ป้องกันทุกสายพันธุ์ของเชื้อ ดังนั้นการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความสะอาดในอาหารและน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคนี้ได้อย่างดี

 

5.โรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)

เป็นโรคติดเชื้อที่สร้างจากไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A virus) ซึ่งมักจะถูกนำเข้าผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนด้วยไวรัสนี้ โรคนี้เป็นที่รู้จักดีในเรื่องของการระบาดที่เกิดขึ้นในชุมชนหรือภูมิภาคที่มีมาตรฐานสุขอนามัยที่ต่ำ โดยส่วนใหญ่จะเป็นที่พบในพื้นที่ที่มีการเตรียมอาหารและการเก็บเสียของมนุษย์ที่ไม่สะอาด

โรคไวรัสตับอักเสบเอมักมีอาการที่หลากหลายระดับตั้งแต่เป็นเบาไปจนถึงรุนแรง

  • อาการอ่อนเพลีย
  • อาการไข้
  • อาการมีน้ำหนักลด
  • อาการปวดท้อง
  • ปวดหัว
  • อาการเบื่ออาหาร
  • ปวดหัวอ่อนลง

โรคนี้มักจะไม่รุนแรงตามปกติ แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดภาวะที่รุนแรงขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพร้าวไปด้วย เด็กอาจมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่

การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ รวมถึงการลดการแพร่กระจายของไวรัสนี้ จะเน้นไปที่การรักษาความสะอาดในอาหารและน้ำ เช่น การล้างมือด้วยสบู่ การนำอาหารที่สุกมาทำความสะอาดให้สะอาด การทำความสะอาดอุปกรณ์ในการทำอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนต้านไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งมีอยู่ในรูปของวัคซีนที่ป้องกันได้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยมักจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่ทำงานในร้านอาหาร ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หรือกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ อีกทั้งยังแนะนำให้รับวัคซีนเมื่อเด็กอายุตามที่แพทย์และหรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนะนำ

 

6.โรคผิวหนังอักเสบจากแสงแดด

เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โรคแดดพิษ” (Sunburn) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังได้รับแสงแดดในระดับที่เกินไป โดยโรคนี้เกิดจากการสะสมของความร้อนและแสง UV (รังสี ultraviolet) จากแสงแดด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน เป็นไปได้มากในผู้ที่ไม่ได้ป้องกันผิวหนังด้วยการใช้ครีมกันแดดหรือใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดดเหมาะสม

อาการของโรคแดดพิษ

  • ผิวหนังแดง
  • รู้สึกร้อนไหม้บนผิวหนัง
  • รู้สึกอักเสบหรือปวดเมื่อสัมผัส
  • รอยแดงบนผิวหนัง

ในกรณีที่มีการได้รับแสงแดดมากขึ้น อาจมีอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือเวียนศีรษะ

การป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากแสงแดด รวมถึงการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค คือการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF (Sun Protection Factor) สูงพอดีสำหรับประเภทผิวของตนเอง และการใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันแสง UV และหมวกป้องกันแสงแดดเมื่อออกกำลังกายหรืออยู่ภายนอกในระยะเวลานาน นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในแสงแดดในช่วงเวลาที่มีระดับแสง UVB สูงสุด เช่น ในช่วงเวลาระหว่าง 10 โมงเช้าถึง 4 โมงบ่าย และประกอบกับการดื่มน้ำมากเพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการออกแดดนานเกินไป

หากมีอาการผิวหนังอักเสบจากแสงแดด ควรใช้น้ำเย็นหรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่แสบ และใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ หากมีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม

 


อ่านบทความเพิ่มเติม คลิก

 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Popular Articles