Saturday, November 23, 2024
spot_imgspot_img

Top 5 This Week

spot_img

Related Posts

รู้จัก ปลาปลาพลวงชมพู ปลาไทยส่งออก กิโลกรัมละ 3,500 อัปเดต 2567

หนึ่งในปลาที่กำลังดังในขณะนี้ 2567 เนื่องจากมีราคาสูงถึง 3,500 บาท ต่อกิโลกรัม และรัฐบาลได้วางเป้าหมายให้เป็นปลาเศรษฐกิจในจังหวัดยะลา

ปลาปลาพลวงชมพู
ปลาปลาพลวงชมพู

ปลาปลาพลวงชมพู คือ ปลาอะไร มีที่มาอย่างไร 2567

กรมประมงฯ ได้ให้ข้อมูลดังนี้ ปลาพลวงชมพู เป็นปลาน้ำจืดประจำท้องถิ่นจังหวัดยะลา นราธิวาส มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นภาคใต้ว่า ปลากือเลาะห์ หรือ อีแกกือเลาะห์ เป็นปลาที่มีเนื้อรสชาติดี สามารถรับประทานได้ทั้งเกล็ด ในปัจจุบันตลาดการเลี้ยงปลาสวยงามก็กำลังเป็นที่ต้องการอย่างสูง

เนื่องจากเป็นปลาที่มีความโดดเด่นในสีของเกล็ดที่มีลักษณะเป็นสีชมพู บริเวณครีบหลังและครีบหางเป็นสีแดง โดยลักษณะนิสัยและความเป็นอยู่ของปลาชนิดนี้ จะเป็นปลาที่ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่น้ำไหลผ่าน มีน้ำค่อนข้างเย็น มีปริมาณออกซิเจนสูง เช่น น้ำตก หรือบริเวณต้นแม่น้ำสายหลักในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส โดยเฉพาะแม่น้ำปัตตานี และป่าฮาลา –บาลา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปลาพลวงชมพูได้รับการประกาศให้เป็นปลาประจำจังหวัดยะลาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558

อุปสรรคในการเลี้ยง

ในด้านปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงปลาพลวงชมพูส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของอัตราการรอดเนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีไข่ปริมาณน้อยกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่นๆ  500-1,000 ตัว  และพ่อ-แม่พันธุ์ที่มีจำนวนจำกัด ส่วนใหญ่ทางกรมประมงจะรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติและนำมาขุนเพื่อให้พ่อ-แม่พันธุ์สมบูรณ์เพศแข็งแรงพร้อมผสมพันธุ์ เนื่องจากปลาพลวงชมพูจัดเป็นปลาในกลุ่มที่โตช้า

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขยายพัรธุ์ปลาพลวงชมพูจนประสบความสำเร็จ นอกจากนักวิจัยจะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอาหาร ความสมบูรณ์ของพ่อแม่พันธุ์แล้ว ขั้นตอนการเลี้ยงก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกันจะต้องเลี้ยงด้วยระบบน้ำไหล หรือมีน้ำหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากปลาดังกล่าวจะมีพฤติกรรมชอบอยู่ตามต้นน้ำ ชอบน้ำไหล

และเป็นปลาที่ต้องการออกซิเจนตั้งแต่ 5-8 ppm ทั้งนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่กรมประมงเข้าไปส่งเสริมความรู้ในการเลี้ยงปลาพลวงชมพูในอำเภอเบตง จ.ยะลา จะแนะนำให้เกษตรกรเลี้ยงแบบธรรมชาติด้วยการนำน้ำจากต้นน้ำโดยตรง หรือแหล่งน้ำธรรมชาติและปล่อยให้ไหลผ่านระบายออกไป การปล่อยลูกปลาจะปล่อย 1-5 ตัว ต่อตารางเมตร ส่วนการให้อาหารนั้นจะใช้อาหารปลาทั่วไป เช่น อาหารปลาดุก โดยจะให้อาหารวันละ2 ครั้งเช้า- เย็น ให้ครั้งละ 2-3% ของน้ำหนักตัว

ทำเช่นนี้จนสามารถจับขายได้ ซึ่งโดยรวมขั้นตอนการเลี้ยงนั้นไม่ซับซ้อนมากนัก แต่มีปัจจัยหลักที่สำคัญเพียงเรื่องเดียวในการเพาะเลี้ยงคือน้ำจะต้องหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ เพื่อที่จะสามารถควบคุมปริมาณออกซิเจนไม่สูงหรือต่ำกว่าที่กำหนด มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อผลผลิตปลาได้

ปลาที่มีมูลค่าเศรษฐกิจสูง

ปลาพลวงชมพู (Tor douronensis) เป็นปลาน้ำจืดหายากประจำท้องถิ่นในจังหวัดยะลาและนราธิวาส ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเนื่องจากมีรสชาติดีเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 2,500 – 3,500 บาท ทำให้ปลาชนิดนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก

แต่เนื่องจากปลาพลวงชมพูเป็นปลาที่โตช้า ดูแลค่อนข้างยาก ซึ่งจากการศึกษาของกรมประมงพบว่าปลาชนิดนี้โดยธรรมชาติสามารถวางไข่ได้ปีละ 1 ครั้ง และได้ไข่เพียง 500 ฟองต่อแม่ ที่สำคัญการเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพูโดยวิธีผสมเทียมในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้พ่อแม่พันธุ์ปลาพลวงชมพูที่รวบรวมจากธรรมชาติ

เนื่องจากปลาพลวงชมพูรุ่นลูกที่นำมาเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ยังไม่สามารถนำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ได้เพราะไม่มีความสมบูรณ์เพศ อีกทั้งขั้นตอนการฟักไข่แบบเดิมในบ่อซีเมนต์ยังประสบกับปัญหาการติดเชื้อราทำให้ไข่มีอัตราฟักเป็นตัวต่ำ จึงจำเป็นต้องเร่งศึกษาเพื่อพัฒนาการวิจัยในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน

อีกช่องทางหนึ่งของการเพาะเลี้ยงปลาพลวงชมพู คือ ป้อนขายสู่ตลาดปลาสวยงาม ซึ่งมีราคาประมาณ 100 บาท ต่อความยาวลำตัวปลา 1 นิ้ว โดยทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา อยู่ระหว่างศึกษาวิจัยอาหาร ที่สะดวกต่อการเลี้ยงและช่วยให้ปลาโตเร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้อาหารประเภทโปรตีนสูง คือ อาหารสำหรับปลาดุก ซึ่งต้องใช้เวลาเลี้ยง 2 ปี กว่าปลาจะโตจนได้น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เพื่อรองรับการส่งเสริมอาชีพเลี้ยงปลาพลวงชมพู ปลาที่ได้รับการประกาศให้เป็นปลาประจำจังหวัดยะลาต่อไปในอนาคต

เตรียมขึ้นทะเบียน GI ปลาพลวงชมพูฮาลาบาลา

ธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และลงไปที่จ.ยะลา เพื่อเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า “ปลานิลสายน้ำไหลเบตง” และ “ปลาพลวงชมพูฮาลาบาลา” ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น

กรมฯจะเร่งผลักดันสินค้าอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้เป็นสิทธิของชุมชน ผ่านการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อยกระดับสินค้าคุณภาพจากชุมชนให้เป็นที่รู้จัก ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีตัวแทนกลุ่มเกษตรกรปลานิลสายน้ำไหลเบตงและปลาพลวงชมพูฮาลาบาลาได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน GI กับนายกรัฐมนตรีฯ ซึ่งกรมฯจะนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคำขอ

ปลาพลวงชมพูฮาลาบาลา เป็นปลาท้องถิ่นหายาก มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากต้นน้ำป่าฮาลาบาลา และเลี้ยงด้วยระบบน้ำไหลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ มีลักษณะเด่นคือลำตัวมีสีชมพู ครีบหลังและครีบหางเป็นสีแดง เนื้อปลานุ่มมีสีขาวเหมือนสำลี รสชาติหวานอร่อย เกล็ดมีสารคลอลาเจนจึงนิยมทานทั้งเกล็ด

โดยมีราคาสูงถึง 3,000 – 3,500 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาเลี้ยงอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะสามารถขายได้ และสร้างมูลค่าการตลาดให้กับจังหวัดรวมกว่า 44 ล้านบาทต่อปี

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม คลิก

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Popular Articles